จากเหตุการณ์พลิกผันที่ไม่คาดคิด เทย์เลอร์ สวิฟต์ นักร้องสาวชื่อดัง สูญเสียผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียไปมากถึง 5 ล้านคนภายในคืนเดียว ซึ่งการลดลงนี้เกิดขึ้นหลังจากที่อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยี ทวีตข้อความอันน่าโต้แย้ง โดยเรียกร้องให้แฟนๆ “บล็อกและคว่ำบาตร” นักร้องสาว
ทวีตของมัสก์ซึ่งกลายเป็นไวรัลอย่างรวดเร็วกล่าวหาว่าสวิฟต์ส่งเสริมเรื่องราวที่แตกแยกและใช้แพลตฟอร์มของเธอเพื่อผลักดันวาระทางการเมือง “ศิลปะควรรวมเป็นหนึ่ง ไม่ใช่แบ่งแยก ขัดขวางและคว่ำบาตรเทย์เลอร์ สวิฟต์จนกว่าเราจะนำความมีสติกลับคืนสู่ความบันเทิง” มัสก์เขียนซึ่งจุดชนวนให้เกิดการถกเถียงกันอย่างดุเดือดทางออนไลน์
สวิฟต์เป็นที่รู้จักจากผู้ติดตามจำนวนมากทั่วโลกและจุดยืนที่ชัดเจนในประเด็นความยุติธรรมทางสังคม มักเป็นศูนย์กลางของการสนทนาทางการเมืองและวัฒนธรรม อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ล่าสุดนี้ถือเป็นการตอบโต้ต่อสาธารณชนที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในอาชีพการงานของเธอ
แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ รวมถึง Twitter และ Instagram เต็มไปด้วยแฮชแท็กอย่าง #BoycottTaylorSwift และ #SwiftieDivide ในขณะที่แฟนๆ บางส่วนออกมาปกป้องนักร้อง โดยโต้แย้งว่าคำเรียกร้องให้ดำเนินการของมัสก์นั้นไม่สมเหตุสมผล แฟนๆ บางส่วนก็เดินตามรอยของมหาเศรษฐีรายนี้ โดยอ้างถึงความผิดหวังที่มีต่อข้อความที่มองว่าเป็นการเมืองของสวิฟต์
นักวิจารณ์การเคลื่อนไหวของมัสก์ รวมถึงบุคคลสำคัญหลายคนในอุตสาหกรรมบันเทิง ต่างตำหนิการกระทำของเขาว่าเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่ในทางที่ผิด “การไม่เห็นด้วยเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การใช้แพลตฟอร์มของตนเพื่อโจมตีบุคคลอื่นถือเป็นการกระทำที่ผิดศีลธรรม” แหล่งข่าววงในฮอลลีวูดรายหนึ่งกล่าว
สวิฟต์ยังไม่ได้ออกมาพูดถึงประเด็นนี้ต่อสาธารณะ แม้ว่าแหล่งข่าววงในจะบอกว่าทีมงานของเธอกำลังวางแผนรับมือกับเรื่องนี้เพื่อควบคุมเรื่องราวนี้อีกครั้ง ในขณะเดียวกัน แฟนๆ ก็มีความเห็นแตกต่างกัน โดยบางคนให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่อนักร้องสาวคนนี้อย่างไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่บางคนก็แสดงความผิดหวัง
เหตุการณ์นี้เน้นให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างวัฒนธรรมคนดังและพลวัตของโซเชียลมีเดีย ซึ่งทวีตเพียงทวีตเดียวจากบุคคลที่มีอิทธิพลสามารถส่งผลกระทบต่ออาชีพของศิลปินที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดได้อย่างมาก ยังต้องรอดูกันต่อไปว่าแบรนด์ของสวิฟต์จะฝ่ามรสุมลูกนี้ไปได้หรือจะเผชิญกับผลกระทบระยะยาวหรือไม่
ในตอนนี้ การทะเลาะวิวาทระหว่าง Elon Musk และ Taylor Swift กลายเป็นจุดชนวนความขัดแย้งทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ดึงดูดผู้คนหลายล้านคน และก่อให้เกิดการสนทนาเกี่ยวกับความรับผิดชอบของบุคคลสาธารณะในยุคดิจิทัล